รู้จัก Crystal Moon



รู้จัก Crystal Moon 

สวัสดีค่ะ Crystal Moon เป็นนามปากกา สำหรับรัตน์ที่ใช้เขียนหนังสือค่ะ แต่ถ้าใช้ในสื่อโซเชียลต่างๆ ก็จะเติมคำว่า Public ลงไปเพื่อเป็นการแสดงสถานะสาธารณะของโซเชียลมีเดียของเราเท่านั้นเองค่ะ ส่วนที่มาก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แค่เอามาจากชื่อและนามสกุลของรัตน์เองค่ะ(ง่ายมาก) 

ทำไมสนใจอยากเป็นนักเขียน 
ปัจจุบันเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัวค่ะ อยู่ในฝ่าย HR ด้านงานฝึกอบรม (Training)ในบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งค่ะ บางคนอาจจะคุ้นเคยคำว่า HRD (Human Resources Development), OD (Organization Development), L&D (Learning & Development), TM&PD (Talent Management & People Development) รู้สึกเริ่มเยอะ เอาเป็นว่าเป็นงานพัฒนาบุคลากรในองค์กรก็แล้วกันค่ะ ทำมานานกว่า 10 ปีแล้วค่ะ ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของรัตน์ที่ได้มาอยู่ในส่วนงานนี้ จึงทำให้เราได้รู้จักผู้คนเก่งๆ มากมาย และยังได้เรียนรู้ทั้งในเรื่องงานและเรื่องอื่นๆ ที่เป็นด้าน Technical Skill และ Soft Skill ไปพร้อมๆ กันด้วย แต่รัตน์เพิ่งมาได้รับแรงบันดาลใจหาอาชีพเสริมทางด้านขีดๆ เขียนๆ เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ (ความจริงคือ เพิ่งค้นพบว่าตัวเองรักและฝันอยากจะเป็นอะไรก็ตอนที่อายุเยอะแล้วนี่แหละค่ะ) 

เท่าที่รัตน์รู้จักเพื่อนร่วมงาน หรือจากรุ่นพี่ร่วมสายอาชีพ ส่วนมากคนที่ทำงานสาย HR Training ส่วนใหญ่ก็จะวางแผนเติบโตทางสายอาชีพของตนแตกต่างกันไป เช่นไปเป็นผู้จัดการ หรือไปเป็นผู้อำนวยการต่อ แต่ก็มีหลายคนที่ผันตัวเองต่อยอดไปเป็นวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ นักพูด หรือเปิดบริษัทจัดฝึกอบรม เป็นต้นค่ะ 

โดยส่วนตัวรัตน์เอง พอลองมานั่งคิดดูแล้ว รัตน์ค้นพบตัวเอง (ขอเล่ายาวเลยนะคะ) จำความได้ตั้งแต่เด็กเราเคยอ่านหนังสือเล่มหนาเตอะอยู่สองเล่ม ทั้งที่ตอนนั้นเพิ่งอยู่ชั้นป. 2 เองมั้ง สมัยก่อนตอนพ่อหนุ่มๆ พ่อมีอาชีพรับจ้างทั่วไป รับจ้างก่อสร้างบ้าง รับจ้างทำเฟอร์นิเจอร์บ้าง พวกงานช่างไม้ทุกชนิดเลยค่ะ พ่อก็เลยได้มีโอกาสได้ใช้บริการเช่าร้านหนังสือไปทั่วทุกสารทิศ และก็ได้เช่าหนังสือมาอ่านอยู่บ่อยๆ มันก็เลยมีหนังสือทิ้งไว้บนหัวเตียงนอนในตอนนั้นหลายเล่ม

เล่มแรกที่อ่านเลยคือ ราชาธิราช ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ค่ะ ตอนนั้นอ่านไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ ใช้ภาษาสำนวนโวหารแบบอ่านยากสุดๆ แต่ก็อาศัยความพยายามอ่านจนจบ โดยให้พี่ชายที่อายุห่างกัน 2 ปี เล่าเนื้อหาให้ฟังอีกที เลยสรุปพอเข้าใจว่า เออ...เราอ่านก็พอรู้เรื่องเหมือนกันเว้ย อันไหนที่ไม่รู้ก็ถือโอกาสเรียนรู้และทำความเข้าใจตอนที่พี่ชายบอกนั่นล่ะค่ะ


ส่วนเรื่องที่สอง เรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ของยาขอบ (โชติ แพร่พันธ์) อันนี้ไม่ต้องห่วง แค่จำชื่อตัวละครก็จำยากแล้วค่ะ อ่านไปเกือบปีกว่าจะจบเหมือนกันค่ะ ในรูปที่ด้านล่าง จำได้เลือนลางค่ะว่าหน้าปกประมาณนี้ แต่รัตน์ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นรัตน์อ่านเวอร์ชั่นไหน หรือปีที่พิมพ์ปีไหนน่ะค่ะ

หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านหนังสือมาเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยชั้นประถมศึกษาเลย ก็จะมีอ่านหนังสือแข่งกับเพื่อนในห้องกัน โดยมียอดลิสต์รายการขอยืมหนังสือว่าใครมีลิสต์รายการยืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่านมากกว่ากันก็จะดูแบบว่าอ่านเยอะ อ่านเก่ง ชนะเลิศ อะไรแบบนั้น แต่ด้วยความที่รัตน์อยากดูเท่ห์ ดูเหนือเพื่อน หรือตอนนั้นคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ รัตน์ก็เลยจะชอบขอยืมหนังสือปกแข็งๆ ที่มีแต่ตัวหนังสือเต็มพรืดทั้งหน้าแบบที่เพื่อนๆ คนอื่นไม่ค่อยขอยืมมาอ่านกัน เพราะรู้สึกว่าถ้าเราได้เป็นคนแรกในกระดาษเสียบรายชื่อผู้ยืมหนังสือ แล้วรู้สึกดีแบบอธิบายไม่ถูกน่ะค่ะ

จากนั้นมารู้ตัวเองอีกทีก็ตอนโตแล้ว (พอทำงานหาเงินซื้อหนังสือเองได้แล้ว) ก็เลยคิดได้ว่าทำไมเราไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยนะว่าตัวเองก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน เรามีนักเขียนที่เราชื่นชอบ มีนักแปลหนังสือที่เราติดตาม มีบุคคลตัวอย่างที่เป็น Role Model ที่เราอยากจะเป็นเหมือนเขา (พูดถึง Role Model แล้ว ขอเล่าต่ออีกหน่อยนะคะ) 

รัตน์มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่รัตน์ยึดให้ท่านเป็น Role Model ของบันไดแห่งความสำเร็จของรัตน์เลย ขอเรียกอาจารย์ท่านนี้ว่า ขุ่นแม่อาจารย์พริตตี้แล้วกันนะคะ (ยังไม่ได้ขออนุญาตใช้ชื่อท่านก่อน) ท่านเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารและเรื่องของ Passion จากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งค่ะ และสาเหตุที่รัตน์เรียกท่านว่า ขุ่นแม่อาจารย์พริตตี้ก็เพราะท่านเคยกล่าวไว้ว่า "ความจริงท่านเป็นพริตตี้ค่ะแต่มารับจ๊อบเป็นอาจารย์" (เป็นอารมณ์ขันของท่านค่ะ)
 
วันหนึ่งรัตน์ได้มีโอกาสเจอท่านในงานสัมมนาหนึ่งของ ขุ่นแม่อาจารย์พริตตี้ของรัตน์นี่แหละ รัตน์ก็เดินเข้าไปทักทายพูดคุยกับท่านค่ะ เลยบอกกับท่านไปว่า "อาจารย์คะรัตน์อยากเป็นเหมือนอาจารย์ค่ะ" อาจารย์ผู้มีอารมณ์ขันของรัตน์ตอบกลับด้วยประโยคแสนธรรมดาเรียบง่ายแต่มีค่าราวกับไข่มุกมาว่า “เป็นเลยค่ะรัตน์ แล้วเป็นให้ดีกว่าอาจารย์” ตอนนั้นรัตน์นี่...คิดกับตัวเองว่าเราเป็นได้ใช่ไหม? กำลังใจฮึดแบบ...ได้มาเยอะมากจริงๆ มันเลยเป็นพลังแห่งความมุ่งมั่น เป็นแรงจูงใจให้รัตน์ลุกขึ้นมาทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราอยากจะทำและประสบความสำเร็จให้ได้โดยที่ไม่กลัวอะไรเลย ทั้งที่เมื่อก่อนรัตน์กลัวที่จะบอกความฝันของตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนมันเป็นความฝันที่ใหญ่โตมาก กลัวจริงๆ ว่าตัวเองจะอายเสียงหัวเราะเยาะของผู้คนที่ว่าเรากล้าฝันจะทำอะไรแบบนั้น แต่ตอนนี้รัตน์กล้าประกาศเลยค่ะ ว่ารัตน์อยากเป็นนักเขียน และก็เป็นแล้ว เป็นด้วยตัวของตัวเองค่ะ ไม่มีใครมาแต่งตั้งให้เป็น 

สรุปสุดท้ายนี้ รัตน์อยากให้บล็อก Crystal moon เป็นสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นเหมือนแหล่งที่ให้ความรู้และประสบการณ์ที่รัตน์จะถ่ายทอด แบ่งปันให้กับใครก็ตามที่บังเอิญผ่านเข้ามาได้รับแรงบันดาลใจ กำลังใจ หรืออะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่ผ่านเข้ามาสักเล็กน้อยบ้างก็ยังดีค่ะ    

มาร์ค กูเบอร์ติ บอกว่า เราจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดได้ โดยการยึดมั่นเป้าหมายและไล่ตามความฝันอย่างไม่ลดละ” (Write and Grow Rich; Alinka Rutkowska : เขียน  พร่างดาว นุประดิษฐ์ : แปล)

 แล้วพบกันในบทความต่อไปนะคะ ^ ^








ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ16/10/62 17:10

    จะติดตามผลงานไปเรื่อยๆนะคะ ชอบมากค่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้กันมากๆ เลยค่ะ #รักนะคะ # Crystal Moon #Crystalmoon.public

      ลบ

แสดงความคิดเห็น